ไอที บีลีฟ ไทยแลนด์ – ผู้พัฒนาเว็บไซต์และระบบ iBZII สำหรับธุรกิจ SME ที่อยากเติบโตออนไลน์แบบมืออาชีพ
แชทผ่านไลน์ 061 994 9464 สมัครงาน

5 จุดลับบนเว็บไซต์ที่กระซิบว่า “แบรนด์นี้รักลูกค้าสุดๆ!”

https://www.ib.co.th/article/903
5 จุดลับบนเว็บไซต์ที่กระซิบว่า “แบรนด์นี้รักลูกค้าสุดๆ!”

เบื่อไหมที่ลูกค้าเข้ามาดูเว็บแล้วก็จากไปเงียบๆ? ลองมาดูกันค่ะว่ามีตรงไหนที่เราเผลอพลาดไปหรือเปล่า แล้วมาสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ให้ลูกค้าหลงรักแบรนด์เรายิ่งกว่าเดิมกันดีกว่า!

เว็บทำไมต้อง "ใส่ใจ" ลูกค้า?

นี่เลยค่ะเพื่อนๆ เรามาคุยกันแบบเปิดอกเลยนะว่ายุคนี้อะ การมีแค่เว็บไซต์สวยๆ มันไม่พอแล้วจริงไหม? คือเมื่อก่อนนะ ถ้ามีเว็บที่ดูดี มีข้อมูลครบ ลูกค้าก็ว้าวแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แบบนั้นไง! ลูกค้าเขาฉลาดขึ้น เขาต้องการอะไรที่มากกว่าแค่หน้าตาดีๆ หรือข้อมูลพื้นๆ แล้วนะ

ลองนึกภาพตามนะคะ สมมติว่าเรากำลังมองหาบริษัททำเว็บไซต์ให้ธุรกิจของเรา เราก็คงไม่ได้ดูแค่ว่าเขาเคยทำเว็บให้ใครมาบ้าง หรือแค่โชว์ผลงานสวยๆ อย่างเดียวถูกไหม? เราก็ต้องดูว่าเขามีความเข้าใจเราแค่ไหน มีอะไรที่เราสามารถสัมผัสได้ว่าเขาใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ หรือเปล่า?

คือเรื่อง "ความใส่ใจ" เนี่ยมันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากๆ มันไม่ใช่แค่การบริการที่ดีเยี่ยมตอนที่ลูกค้าโทรมาคุยด้วยนะ แต่มันรวมถึงทุกจุดเล็กๆ น้อยๆ บนเว็บไซต์ของเราด้วย ที่จะคอยกระซิบกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลาว่า "ฉันแคร์เธอนะ! ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการ!"

เพราะอะไรน่ะหรอ? ก็เพราะว่าในโลกออนไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากๆ แบบนี้ การที่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ไหนสักแบรนด์เนี่ย เขาจะไม่ได้ตัดสินใจแค่จากราคาหรือคุณภาพสินค้าอีกต่อไปแล้วนะ แต่เขาจะดูจาก "ความรู้สึก" ที่เขาสัมผัสได้จากแบรนด์นั้นๆ ด้วย

ถ้าเว็บของเราสามารถสร้างความรู้สึกที่ดี ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเข้าใจเขาจริงๆ ว่าเราพร้อมจะแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์เขาได้ นั่นแหละค่ะคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความภักดีของลูกค้าที่ยั่งยืน และมันก็จะส่งผลให้ยอดขายเราพุ่งกระฉูดด้วยนะ! เพราะฉะนั้นนะ การลงทุนกับบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่เข้าใจเรื่องความใส่ใจลูกค้าจริงๆ เนี่ย ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสุดๆ เลยค่ะ!

 

1. หน้า Contact Us ที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด

เพื่อนๆ เคยไหมที่อยากจะติดต่อสอบถามอะไรบางอย่างกับแบรนด์นึง แต่พอเข้าไปหน้า Contact Us แล้วรู้สึกเหมือนหลงทาง? บางทีหาเบอร์โทรไม่เจอ บางทีฟอร์มก็ซับซ้อนเกินไป หรือบางทีก็มีแต่ที่อยู่บริษัทที่ไกลแสนไกล เหมือนจะบอกว่า "ไม่อยากให้ฉันติดต่อเลยใช่ไหมเนี่ย!"

ใช่เลยค่ะ! หน้า Contact Us เนี่ยไม่ใช่แค่ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์เท่านั้นนะ แต่มันคือ ประตูบานแรกที่ลูกค้าจะเข้ามาหาเรา ค่ะ ถ้าประตูมันเปิดยาก ลูกค้าก็อาจจะถอยกลับไปง่ายๆ เลยนะ

ลองนึกภาพตามนะ สมมติเรากำลังจะหาบริษัทรับทำเว็บไซต์แล้วเจอเว็บนึงที่หน้าติดต่อมีแค่ฟอร์มยาวๆ ให้กรอก แถมต้องกรอกข้อมูลเยอะแยะไปหมด กับอีกเว็บนึงที่มีตัวเลือกให้เลือกหลากหลาย ทั้งเบอร์โทร อีเมล ไลน์แอด หรือแม้แต่แชทบอทที่ตอบคำถามเบื้องต้นได้ทันที แถมมีแผนที่ชัดเจน มีเวลาทำการบอก และอาจจะมีรูปพนักงานที่ดูแลส่วนนี้ด้วยนิดๆ หน่อยๆ แบบเป็นกันเอง… ถามจริงเถอะ เราจะเลือกติดต่อกับเว็บไหนมากกว่ากันคะ? แน่นอนว่าต้องเป็นเว็บที่ดูเป็นมิตรและเข้าถึงง่ายกว่าอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?

ดังนั้นนะ การที่เราใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การทำให้หน้า Contact Us ของเราใช้งานง่าย มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่เบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลเท่านั้นนะ แต่รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วย แถมถ้ามีปุ่มที่กดแล้วโทรออกได้ทันที หรือกดแล้วเด้งไปที่ LINE Official Account ได้เลยนี่คือยิ่งดีมากๆ เลยค่ะ!

หรือถ้ามีแผนที่ให้เห็นชัดๆ ว่าออฟฟิศเราอยู่ตรงไหน มีเวลาทำการที่บอกไว้อย่างละเอียด และถ้าเป็นไปได้ มีรูปทีมงานที่รับผิดชอบเรื่องการติดต่อ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นกันเองและน่าเชื่อถือ นี่แหละค่ะคือการแสดงออกถึงความใส่ใจเล็กๆ ที่จะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกค้าของเราได้จริงๆ

เพราะฉะนั้นนะ การลงทุนกับบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบหน้า Contact Us ให้เป็นมิตรและเข้าถึงง่ายเนี่ย ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ เลยค่ะ เพราะมันคือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้ามาพูดคุยกับเรา ได้เข้ามาทำความรู้จักกับเรามากขึ้น และแน่นอนว่ามันจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นตามมาด้วยค่ะ!

 

2. FAQ ที่ตอบคำถามได้ตรงใจ เหมือนมีเพื่อนสนิทมาแนะนำ

คุณผู้หญิงขา… เคยไหมคะที่อยากรู้เรื่องอะไรบางอย่างมากๆ แต่ก็ไม่อยากโทรไปถามให้เสียเวลา? หรือบางทีก็รู้สึกเกรงใจที่จะทักแชทไปถามอะไรเล็กๆ น้อยๆ? นั่นแหละค่ะ! จุดนี้แหละที่ FAQ หรือคำถามที่พบบ่อย จะเข้ามาช่วยชีวิตเราไว้ได้!

คือหลายคนอาจจะคิดว่า FAQ มันก็แค่หน้าเว็บธรรมดาๆ ที่รวมคำถามกับคำตอบไว้ให้ลูกค้า แต่จริงๆ แล้วมันเป็นได้มากกว่านั้นเยอะเลยนะ! มันคือ ผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยตอบคำถามให้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่เราไม่ต้องไปนั่งตอบเองซ้ำๆ ซากๆ เลยค่ะ

ลองนึกภาพตามนะ สมมติเรามีคำถามอยู่ในใจเยอะแยะไปหมดเลย เช่น "ใช้เวลาทำนานแค่ไหน?" "มีแพ็คเกจราคาเท่าไหร่บ้าง?" "ถ้ามีปัญหาจะติดต่อใครได้บ้าง?" ถ้าเราเข้าเว็บไปแล้วเจอ FAQ ที่รวบรวมคำถามที่เราสงสัยไว้ครบถ้วน แถมตอบได้ชัดเจน เข้าใจง่าย เหมือนมีเพื่อนมาอธิบายให้ฟังนะ รับรองว่าเราจะรู้สึกดีกับแบรนด์นั้นขึ้นมาทันทีเลยค่ะ!

แต่ถ้า FAQ มีแต่คำถามพื้นๆ ที่ใครๆ ก็รู้ หรือคำตอบที่ดูเหมือนก๊อปวางมาจากที่อื่น ไม่ได้แก้ปัญหาให้เราได้จริงจังเลย… แบบนี้ก็อาจจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "แบรนด์นี้ไม่ได้เข้าใจปัญหาของเราเลยนี่นา" ใช่ไหมคะ?

เพราะฉะนั้นนะ การทำ FAQ ที่ดีเนี่ย มันไม่ใช่แค่การลิสต์คำถามมาตอบเฉยๆ นะ แต่มันคือการที่เราต้อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ค่ะ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะมีคำถามอะไรบ้าง? แล้วคำตอบของเราจะช่วยแก้ปัญหาหรือคลายข้อสงสัยให้ลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน?

เราอาจจะต้องวิเคราะห์จากคำถามที่ลูกค้าเคยถามเข้ามาบ่อยๆ หรือดูจากปัญหาที่ลูกค้ามักจะเจอ แล้วนำมาเรียบเรียงคำตอบให้เข้าใจง่าย เป็นภาษาที่สุภาพ เป็นกันเอง แต่ก็ยังคงความเป็นมืออาชีพอยู่นะคะ แถมถ้ามีตัวอย่างประกอบ หรือรูปภาพอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนด้วยยิ่งดีเลยค่ะ

และที่สำคัญนะ FAQ ไม่ใช่ของที่ทำครั้งเดียวแล้วจบไปนะ! เราควรจะอัปเดตมันอยู่เสมอ เพิ่มคำถามใหม่ๆ ที่ลูกค้าถามเข้ามาเรื่อยๆ หรือปรับปรุงคำตอบให้ดีขึ้นตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา นี่แหละค่ะคือการแสดงให้เห็นว่าเรา "ใส่ใจ" ลูกค้าจริงๆ และพร้อมที่จะพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาอยู่เสมอค่ะ

3. ดีไซน์ที่เข้าใจคนใช้ ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว

คุณผู้หญิงขา… เคยเจอไหมคะ? เว็บไซต์ที่สวยแบบอลังการงานสร้าง แต่พอจะกดเข้าไปดูข้อมูลอะไรสักอย่างก็หายาก กดแล้วไม่ไปบ้าง หรือหน้าโหลดช้าจนถอดใจไปก่อนบ้าง? นั่นแหละค่ะคือปัญหาใหญ่เลยนะ! เพราะสุดท้ายแล้ว ความสวยงามมันต้องมาคู่กับความใช้งานง่าย ค่ะ

คือถ้าเราจะเลือก บริษัทรับทำเว็บไซต์มาช่วยเราทำเว็บนะ เราก็ต้องดูว่าเขามีความเข้าใจเรื่อง User Experience (UX) และ User Interface (UI) มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่ทำเว็บออกมาให้สวยโดนใจเราอย่างเดียว แต่ต้องสวยและใช้งานง่ายโดนใจลูกค้าของเราด้วยต่างหาก!

ลองนึกภาพตามนะ เว็บไซต์ของเราก็เหมือนบ้านของเรานั่นแหละค่ะ ถ้าบ้านสวยแต่ทางเข้าลำบาก ห้องน้ำหาไม่เจอ หรือประตูเปิดยาก มันก็ไม่น่าอยู่ใช่ไหมคะ? เว็บไซต์ก็เหมือนกันเลยค่ะ ถ้าสวยแต่ใช้งานยาก ลูกค้าก็ไม่อยากอยู่ ไม่อยากใช้บริการ แล้วก็ปิดหน้าต่างเว็บเราทิ้งไปง่ายๆ เลยค่ะ

การออกแบบที่ "เข้าใจคนใช้" เนี่ย มันไม่ได้หมายถึงแค่การเลือกสีที่สบายตา หรือฟอนต์ที่อ่านง่ายเท่านั้นนะ แต่มันหมายถึงการคิดถึง พฤติกรรมของลูกค้า ในทุกๆ ขั้นตอนที่เขาเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของเราเลยค่ะ

  • โครงสร้างเว็บ: การจัดหมวดหมู่เมนูต่างๆ ควรจะชัดเจน เข้าใจง่าย ทำให้ลูกค้าหาสิ่งที่ต้องการได้ไม่ยาก
  • ปุ่มกดต่างๆ: ควรจะเห็นชัดเจน ขนาดพอดี ไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป และเมื่อกดแล้วควรจะตอบสนองได้ทันที
  • ความเร็วในการโหลด: อันนี้สำคัญมากค่ะ! ลูกค้าสมัยนี้ใจร้อนนะ ถ้าเว็บโหลดช้าเกิน 3 วินาที เขาก็พร้อมจะกดปิดแล้วไปหาคู่แข่งเราทันทีเลยค่ะ!
  • รองรับทุกอุปกรณ์: เว็บไซต์ของเราต้องสามารถแสดงผลได้สวยงามและใช้งานได้ดีบนทุกหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
  • การใช้ภาษา: ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคที่ยากเกินไป จนลูกค้าไม่เข้าใจ

การที่เราใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเข้าใจเขาจริงๆ ว่าเราออกแบบเว็บไซต์มาเพื่อเขา เพื่อให้เขาสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายที่สุด นั่นแหละค่ะคือการแสดงออกถึงความใส่ใจที่ลูกค้าจะสัมผัสได้และประทับใจจริงๆ และมันจะทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากอยู่บนเว็บไซต์ของเรานานขึ้น และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของเราในที่สุดค่ะ

 

4. เนื้อหาที่ “พูด” กับลูกค้า ไม่ใช่แค่ “บอก” ข้อมูล

เพื่อนๆ เคยไหมคะที่อ่านบทความบนเว็บไซต์แล้วรู้สึกเหมือนกำลังอ่านตำราเรียน? มีแต่ข้อมูลแห้งๆ ตัวเลขเต็มไปหมด หรือบางทีก็ใช้ศัพท์ยากๆ จนต้องเปิด Google หาความหมายกันเลยทีเดียว… นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเบื่อหน่ายและกดปิดเว็บไปง่ายๆ เลยนะ!

คือเดี๋ยวนี้อะ การเขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์มันไม่ใช่แค่การ "บอก" ว่าสินค้าหรือบริการของเราคืออะไร มีคุณสมบัติยังไงอีกต่อไปแล้วนะ แต่มันคือการ "พูดคุย" กับลูกค้า ค่ะ การที่บริษัทรับทำเว็บไซต์เข้าใจเรื่องนี้และสามารถช่วยเราสร้างสรรค์เนื้อหาที่โดนใจลูกค้าได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญเลยค่ะ

การสร้างเนื้อหาที่ "พูด" กับลูกค้าเนี่ย มันคือการที่เราต้อง สวมบทบาทเป็นลูกค้า ค่ะ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นลูกค้า เราอยากจะรู้เรื่องอะไร? เรามีปัญหาอะไรที่อยากให้แบรนด์นี้ช่วยแก้? แล้วเราอยากให้แบรนด์นี้พูดกับเราด้วยน้ำเสียงแบบไหน?

  • เข้าใจปัญหาของลูกค้า: เนื้อหาของเราควรจะเริ่มต้นด้วยการพูดถึงปัญหาหรือความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า "เออ! ใช่เลย! นี่แหละที่ฉันกำลังเจออยู่!"
  • นำเสนอทางออก: จากนั้นค่อยนำเสนอสินค้าหรือบริการของเราเป็นทางออกให้กับปัญหานั้นๆ โดยเน้นที่ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ใช่แค่คุณสมบัติของสินค้า
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย: หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน ใช้ภาษาที่สุภาพ เป็นกันเอง แต่ก็ยังคงความเป็นมืออาชีพ
  • เล่าเรื่องราว: การเล่าเรื่องราว (Storytelling) จะช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องราวของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ หรือเรื่องราวเบื้องหลังของแบรนด์
  • มี Call to Action ที่ชัดเจน: เมื่ออ่านจบแล้ว ลูกค้าควรจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อ ไม่ว่าจะเป็นการกดสั่งซื้อ สมัครสมาชิก หรือติดต่อสอบถาม

การใส่ใจในเรื่องเนื้อหาแบบนี้ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของเราไม่ได้แค่มาขายของ แต่มาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้เขาจริงๆ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวค่ะ 

 

5. Feedback ที่ไม่ใช่แค่ปุ่ม แต่คือหัวใจที่รับฟัง

คุณผู้หญิงขา… เคยรู้สึกไหมคะว่าบางทีเราก็อยากจะติชมอะไรบางอย่างกับแบรนด์นะ แต่อีกใจนึงก็รู้สึกว่า "พูดไปก็ไม่มีใครฟังหรอก" หรือไม่ก็ "ไม่รู้จะไปบอกที่ไหนดี?" นั่นแหละค่ะ คือจุดที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษเลยนะ! เพราะ ช่องทาง Feedback ไม่ใช่แค่ปุ่มเล็กๆ บนเว็บไซต์ แต่คือหัวใจที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังลูกค้า ค่ะ

ลองนึกภาพตามนะ สมมติว่าเราเพิ่งใช้บริการจากบริษัทรับทำเว็บไซต์แห่งหนึ่งไป แล้วเรารู้สึกว่ามีบางจุดที่อยากจะแนะนำให้เขาปรับปรุง หรือบางจุดที่เราประทับใจมากๆ แล้วอยากจะบอกให้เขารู้ ถ้าเราเจอช่องทาง Feedback ที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องกรอกข้อมูลอะไรเยอะแยะ แถมรู้สึกว่าข้อความของเราจะถูกส่งไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องจริงๆ นะ เราก็จะรู้สึกอยากให้ Feedback ใช่ไหมล่ะ?

แต่ถ้าช่องทาง Feedback หายาก หรือดูเหมือนไม่มีใครสนใจเลย ก็อาจจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "แบรนด์นี้ไม่ใส่ใจเสียงของลูกค้าเลย" ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ เลยนะคะ เพราะ Feedback ของลูกค้านี่แหละค่ะคือข้อมูลล้ำค่าที่จะช่วยให้เราพัฒนาและปรับปรุงสินค้าหรือบริการของเราให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ดังนั้นนะ การที่เรามีช่องทาง Feedback ที่ชัดเจนและเข้าถึงง่ายบนเว็บไซต์ ถือเป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเรา "ใส่ใจ" และ "ให้ความสำคัญ" กับความคิดเห็นของพวกเขาจริงๆ ค่ะ

  • มีช่องทางที่หลากหลาย: ไม่ใช่แค่ฟอร์มติดต่อเท่านั้นนะ แต่ควรจะมีช่องทางอื่นๆ ด้วย เช่น ปุ่มสำหรับให้คะแนนดาว, กล่องข้อความสำหรับแสดงความคิดเห็นสั้นๆ, หรือแม้กระทั่งลิงก์ไปยังหน้าโซเชียลมีเดียของเราเพื่อให้ลูกค้าสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างสะดวกสบาย
  • ใช้งานง่าย: กระบวนการในการให้ Feedback ควรจะง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องกรอกข้อมูลเยอะเกินไป
  • มีการตอบกลับ: อันนี้สำคัญมากค่ะ! เมื่อลูกค้าส่ง Feedback มาแล้ว เราควรจะมีการตอบกลับ ไม่ว่าจะด้วยการขอบคุณ หรือแจ้งว่าเราได้รับเรื่องไว้แล้ว เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเสียงของพวกเขาไม่สูญเปล่า
  • นำ Feedback ไปปรับปรุง: และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องนำ Feedback ที่ได้มาไปวิเคราะห์และปรับปรุงสินค้าหรือบริการของเราจริงๆ ค่ะ ถ้าเรานำไปปรับปรุงได้จริง แล้วลูกค้าเห็นการเปลี่ยนแปลง นั่นแหละค่ะคือการสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นที่ยั่งยืนที่สุด

การที่เราเปิดใจรับฟัง Feedback จากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติ จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าของเราได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาแบรนด์ของเราให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง นี่แหละค่ะคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของเราแตกต่างและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และเป็นอีกหนึ่งจุดที่สะท้อนถึงความ "ใส่ใจ" ที่แท้จริงของเราค่ะ 

 

สิ่งที่สำคัญกว่า “สวย” คือ “เข้าใจ”

เพื่อนๆ คะ… หลังจากที่เราคุยกันมาถึง 5 จุดสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ของเราดู "ใส่ใจ" ลูกค้าแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่เราอยากจะเน้นย้ำเลยก็คือ การทำเว็บไซต์มันไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเพียงอย่างเดียว ค่ะ

ใช่ค่ะ! เว็บไซต์ที่สวยงาม ดึงดูดสายตา มันเป็นสิ่งแรกที่จะทำให้ลูกค้าหยุดดู แต่หลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่จะทำให้ลูกค้าอยู่กับเรานานๆ และอยากจะกลับมาหาเราอีกครั้ง คือ ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ว่าเรา "เข้าใจ" เขา ค่ะ

ความเข้าใจในที่นี้หมายถึงอะไรน่ะหรอ? ก็คือการที่เราเข้าใจว่าลูกค้าของเราต้องการอะไร กำลังมองหาอะไร มีปัญหาอะไรที่อยากให้เราช่วยแก้ และเราจะสามารถนำเสนอสิ่งเหล่านั้นผ่านเว็บไซต์ของเราได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

การที่เราใส่ใจในทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่การออกแบบหน้า Contact Us ให้เป็นมิตร มี FAQ ที่ตอบคำถามได้ตรงใจ การดีไซน์ที่เข้าใจคนใช้ การสร้างเนื้อหาที่ "พูด" กับลูกค้า และการเปิดรับ Feedback อย่างเต็มใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงออกถึงความ "ใส่ใจ" ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ของเรา

เพราะฉะนั้นนะ ถ้าคุณกำลังมองหาบริษัทรับทำเว็บไซต์มาช่วยสร้างสรรค์เว็บไซต์ให้กับธุรกิจของคุณ อย่าลืมพิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้ด้วยนะคะ ไม่ใช่แค่ดูที่ผลงานสวยๆ หรือราคาที่ถูกที่สุดเท่านั้น แต่ต้องดูว่าบริษัทนั้นๆ มีความเข้าใจในเรื่องของลูกค้า และสามารถสร้างเว็บไซต์ที่สะท้อนถึงความ "ใส่ใจ" ของแบรนด์คุณได้อย่างแท้จริงหรือเปล่า

เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่คือ ความภักดีและความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้กับแบรนด์ของคุณ ต่างหากค่ะ! ถ้าเราใส่ใจลูกค้า ลูกค้าก็จะใส่ใจเรา แล้วความสำเร็จก็จะตามมาเองค่ะ!

 

BLOG UPDATE
เทคนิคสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมากกว่าความสวยงาม

เราเชื่อว่าเว็บไซต์ไม่ใช่แค่ความสวย แต่ต้องช่วยสื่อสารแบรนด์ และขับเคลื่อนธุรกิจ
บทความในที่นี่รวมแนวคิด UX/UI เทคนิค SEO วิธีเลือก CMS และกลยุทธ์ดูแลเว็บไซต์แบบมืออาชีพ ทั้งเจ้าของเว็บและนักออกแบบจะได้แนวคิดไปต่อยอดได้ทันที