ไอที บีลีฟ ไทยแลนด์ – ผู้พัฒนาเว็บไซต์และระบบ iBZII สำหรับธุรกิจ SME ที่อยากเติบโตออนไลน์แบบมืออาชีพ
แชทผ่านไลน์ 061 994 9464 สมัครงาน

Website vs Social Media

https://www.ib.co.th/article/344
Website vs Social Media

เว็บไซต์ให้คุณควบคุมได้ทุกพิกเซล ขณะที่โซเชียลมีเดียให้คุณไปถึงผู้คนได้ทันที แต่ในวันที่อัลกอริธึมเปลี่ยนทุกชั่วโมง การเลือกแพลตฟอร์มอาจต้องคิดให้ไกลกว่าแค่ "ยอดไลก์"

ในยุคที่ทุกธุรกิจและคอนเทนต์ต่างแย่งชิงพื้นที่ออนไลน์ การเลือกระหว่างเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่เรื่องของแพลตฟอร์ม แต่คือกลยุทธ์ดิจิทัลในระยะยาว จะพาคุณเจาะลึกความแตกต่าง ข้อดี ข้อจำกัด และอนาคตของทั้งสองโลกในแง่เทคโนโลยี

เว็บไซต์ = บ้านของคุณ โซเชียลมีเดีย = ห้างของคนอื่น
  • เว็บไซต์ก็เหมือน "บ้าน" ที่คุณเป็นเจ้าของจริง ๆ อยากตกแต่งยังไง วางของตรงไหน หรือจะต่อเติมอะไร ก็ทำได้หมด ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือคุณ ไม่ว่าจะขายของ ให้ข้อมูล หรือสร้างแบรนด์ ก็วางแผนได้ตามเป้าหมาย

  • ต่างจากโซเชียลมีเดียที่เหมือนอยู่ใน "ห้าง" — คนเยอะก็จริง แต่คุณปรับอะไรไม่ได้เลย จะจัดแสง เปลี่ยนผนัง หรือวางป้ายหน้าร้าน ก็ต้องตามกฎเขา

ตอนนี้เทคโนโลยีเว็บไซต์ก้าวไปไกลมาก มีเครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง Headless CMS, JAMstack หรือ PWA ที่ทำให้เว็บโหลดไว ใช้งานลื่น รองรับระบบต่าง ๆ ได้ เช่น แชทบอท ระบบจอง หรือระบบสมาชิก เว็บไซต์จึงไม่ใช่แค่หน้าเว็บธรรมดาอีกต่อไป แต่มันคือศูนย์กลางดิจิทัลที่คุณควบคุมได้เองเต็มที่ พร้อมเชื่อมต่อกับ SEO, Big Data และ Marketing Automation แบบครบวงจร

ไม่มีอะไรเร็วเท่าโซเชียลมีเดียอีกแล้ว!!

เทรนด์ใหม่ๆ สามารถกระจายไปทั่วโลกได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทุกวันนี้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ Facebook กลายเป็นเหมือนหน้าร้านหลักของหลายธุรกิจ โดยเฉพาะกับกลุ่ม Gen Z ที่ใช้เวลากว่าครึ่งวันอยู่บนหน้าจอเบื้องหลังแพลตฟอร์มเหล่านี้มีเทคโนโลยีสุดล้ำ ไม่ว่าจะเป็นระบบแนะนำคอนเทนต์แบบเรียลไทม์ หรือ AI ที่คอยกรองและจัดการเนื้อหา นั่นหมายความว่า ถึงจะมีคอนเทนต์ดีแค่ไหน ถ้าไม่ถูก “อัลกอริธึมเลือก” โอกาสที่จะมีคนเห็นก็แทบไม่มีความท้าทายของยุคนี้คือการสร้าง engagement อย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่ที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของเอง


เทรนด์ปี 2025 รวมพลังหรือเลือกข้าง?

แม้ทั้งสองแพลตฟอร์มจะมีข้อดีแตกต่างกัน แต่แนวโน้มในปี 2025 คือการใช้ทั้ง Website และ Social Media ร่วมกันในลักษณะ “Integrated Digital Presence” เว็บไซต์จะกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่มั่นคงและมีความน่าเชื่อถือ ในขณะที่โซเชียลมีเดียทำหน้าที่กระจายข่าวสารแบบรวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทาง

หลายธุรกิจเริ่มนำแนวคิด “Social to Site” มาใช้ โดยเน้นการดึงผู้ใช้งานจากแพลตฟอร์มโซเชียลให้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์เพื่อการซื้อขายที่ปลอดภัย หรือรับข้อมูลที่ลึกกว่า รวมถึงแนวทางใหม่ ๆ อย่างการใช้ AI สร้างคอนเทนต์อัตโนมัติทั้งในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ควบคู่กับระบบ Tracking ที่แม่นยำยิ่งขึ้น


ไม่มีคำตอบตายตัวว่า Website หรือ Social Media ดีกว่ากัน ทุกแพลตฟอร์มมีบทบาทของตัวเองในจักรวาลดิจิทัล การเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับเป้าหมายและการผสานจุดแข็งของแต่ละช่องทางคือหัวใจของกลยุทธ์การสื่อสารในยุคที่เทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง

Website vs Social Media กลยุทธ์การตลาดที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ในโลกการตลาดปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเลือกระหว่างการสร้าง เว็บไซต์ ของตัวเองกับการใช้ โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางหลัก ถือเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่ออนาคตของธุรกิจอย่างมหาศาล ในฐานะนักการตลาดที่เข้าใจการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและสร้างยอดขายอย่างยั่งยืน ผมจะพาคุณเจาะลึกข้อดีข้อเสีย ระยะสั้นยาว รวมถึงมุมมองด้านการลงทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาด

 

1. Website: บ้านของคุณบนโลกออนไลน์

ข้อดี :

  • ควบคุมได้ 100% (ระยะยาว): เว็บไซต์คือพื้นที่ดิจิทัลของคุณเอง คุณมีสิทธิ์ขาดในการออกแบบ จัดวางเนื้อหา รูปแบบการขาย ระบบสมาชิก ไปจนถึงการเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอื่น
  • สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์มืออาชีพ: การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพให้กับแบรนด์ ทำให้ลูกค้ามั่นใจและจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
  • เป็นศูนย์กลางข้อมูล (Hub): เว็บไซต์สามารถเป็นศูนย์รวมข้อมูลทั้งหมดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ บทความความรู้ แกลเลอรีผลงาน หรือช่องทางติดต่อ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ครบถ้วนในที่เดียว
  • ประสิทธิภาพด้าน SEO (ระยะยาว): เว็บไซต์เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับการทำ SEO มากที่สุด คุณสามารถปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์, Keywords, Meta Tags และสร้าง Backlinks เพื่อให้ Google Bot เก็บข้อมูลและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ปรากฏในผลการค้นหาได้อย่างยั่งยืน
  • เก็บข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์: คุณสามารถติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์ (เช่น Google Analytics) เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้เข้าชมได้อย่างละเอียด ทำให้เข้าใจลูกค้าและนำข้อมูลไปวางแผนการตลาดได้อย่างแม่นยำ

ข้อเสีย :

  • ใช้เวลาและงบประมาณในการเริ่มต้นสูงกว่า (ระยะสั้น): การสร้างเว็บไซต์ต้องใช้เวลาในการออกแบบ พัฒนา และมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสำหรับโดเมน โฮสติ้ง และการพัฒนาเว็บไซต์
  • ต้องโปรโมทเพื่อให้คนรู้จัก (ระยะสั้น): การมีเว็บไซต์ไม่ได้หมายความว่าคนจะเข้ามาทันที คุณต้องลงทุนกับการโปรโมทเว็บไซต์ เช่น การทำ seo, Google Ads หรือการโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย
  • การบำรุงรักษา: ต้องมีการดูแลและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

 

2. Social Media: หน้าร้านในห้างสรรพสินค้าดิจิทัล

ข้อดี :

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและกว้างขวาง (ระยะสั้น): โซเชียลมีเดียมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทันทีผ่านการสร้างคอนเทนต์หรือยิงโฆษณา
  • สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้ง่าย: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ ทำให้ง่ายต่อการสร้างการพูดคุย คอมเมนต์ หรือแชร์
  • ใช้งบประมาณเริ่มต้นต่ำกว่า: การสร้างเพจหรือโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์ได้ทันที
  • แพลตฟอร์มโฆษณาที่เข้าถึงเฉพาะเจาะจง: โซเชียลมีเดียมีเครื่องมือโฆษณาที่ช่วยให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ตามอายุ เพศ ความสนใจ หรือพฤติกรรม

ข้อเสีย :

  • ขาดการควบคุม (ระยะยาว): คุณไม่มีสิทธิ์ขาดในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย คุณต้องปฏิบัติตามกฎและนโยบายของแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง (Organic Reach) และรูปแบบการแสดงผลคอนเทนต์
  • ข้อมูลลูกค้าไม่ได้เป็นของคุณ 100%: การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าอาจถูกจำกัดและอยู่ภายใต้แพลตฟอร์ม
  • การแข่งขันสูง: มีธุรกิจจำนวนมากที่ใช้โซเชียลมีเดีย ทำให้การสร้างความโดดเด่นและดึงดูดความสนใจทำได้ยากขึ้น
  • อายุของคอนเทนต์สั้น: คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียมักมีอายุสั้น ถูกกลืนหายไปกับฟีดข่าวอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

การลงทุนด้านการตลาด มุมมองสำหรับธุรกิจเล็กและใหญ่

การตัดสินใจว่าจะลงทุนกับเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียเป็นหลักนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจ เป้าหมาย และงบประมาณเป็นสำคัญ

ธุรกิจขนาดเล็ก (SME / Start-up)

  • ระยะเริ่มต้น: อาจเน้นไปที่การใช้ โซเชียลมีเดีย เป็นหลัก เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วด้วยงบประมาณที่จำกัด ควรสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ สร้างปฏิสัมพันธ์ และใช้โฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
  • เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต: ควรเริ่มลงทุนกับการสร้าง เว็บไซต์ เพื่อเป็น "บ้าน" ของตัวเอง สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายช่องทางการขายในระยะยาว รวมถึงเริ่มทำ SEO เบื้องต้น

 

ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่

  • เน้นการผสานรวม (Integration): ธุรกิจขนาดใหญ่ควรมีทั้ง เว็บไซต์ เป็นศูนย์กลางหลักและใช้ โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางในการกระจายข่าวสาร ดึงดูดลูกค้า และสร้างการมีส่วนร่วม
  • ลงทุนใน SEO และ UX/UI: เว็บไซต์ต้องได้รับการลงทุนด้าน SEO อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการออกแบบ UX (User Experience) และ UI (User Interface) ที่ดีเยี่ยม เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเข้าชมเว็บไซต์ ส่งผลต่อการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นยอดขาย
  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า วางแผนกลยุทธ์ และปรับปรุงประสิทธิภาพการตลาดอย่างต่อเนื่อง
การออกแบบ UX/UI เพื่อสนับสนุนการขาย

ในฐานะนักการตลาดที่เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่า ไม่ว่าคุณจะมีเว็บไซต์หรือใช้โซเชียลมีเดีย การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) คือหัวใจสำคัญในการสร้างยอดขาย

  • เข้าใจลูกค้า: ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อออกแบบเส้นทางของผู้ใช้ (User Journey) ให้ราบรื่นที่สุด
  • ข้อมูลชัดเจน เข้าถึงง่าย: การจัดวางข้อมูลบนหน้าเว็บหรือในโพสต์โซเชียลต้องชัดเจน อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน ลูกค้าต้องหาข้อมูลสินค้า บริการ และช่องทางการติดต่อเจอได้ทันที
  • กระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action - CTA): ปุ่มหรือข้อความที่กระตุ้นให้ลูกค้าทำบางสิ่งบางอย่าง (เช่น "ซื้อเลย", "ติดต่อเรา", "ลงทะเบียน") ต้องโดดเด่น ชัดเจน และวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-first): ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าถึงข้อมูลผ่านมือถือ การออกแบบที่รองรับ Responsive Design จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
  • หน้าตาที่สวยงาม น่าเชื่อถือ: การจัดหน้าเว็บไซต์หรือการออกแบบกราฟิกสำหรับโซเชียลมีเดียต้องดูเป็นมืออาชีพ สวยงาม และสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์

1. การทำงานร่วมกันแบบ "ผสานพลัง" ไม่ใช่ "เลือกข้าง" (Integration & Synergy)

เจ้าของธุรกิจหลายคนมักคิดว่าต้องเลือกว่าจะใช้แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สองสิ่งนี้ทำงานเสริมกันได้อย่างทรงพลัง ครับ

  • โซเชียลมีเดีย : ประตูหน้าบ้านที่ดึงดูดผู้คน
    • ใช้เพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) อย่างรวดเร็ว
    • สร้างปฏิสัมพันธ์และชุมชน (Engagement & Community)
    • กระจายโปรโมชั่น ข่าวสาร และคอนเทนต์ "เรียกแขก"
    • เป็นช่องทางแรกที่ลูกค้าจะ "เห็น" และ "แวะเข้ามา"
  • เว็บไซต์ : บ้านที่มั่นคง ศูนย์กลางการแปลงยอดขาย
    • เป็นแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์ น่าเชื่อถือ และเป็นทางการ
    • ที่ที่ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อ, กรอกฟอร์ม, ลงทะเบียน หรือศึกษาข้อมูลเชิงลึกได้โดยไม่มีสิ่งรบกวน
    • เป็นแพลตฟอร์มที่คุณ "ปิดการขาย" ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
    • ทุกกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียควรมีเป้าหมายสุดท้ายคือ "ดึงลูกค้ากลับมาที่เว็บไซต์" เพื่อการแปลงยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวครับ

2. การวัดผลและการคืนทุน (Metrics & ROI)

เจ้าของธุรกิจต้องการเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างชัดเจน การวัดผลจึงสำคัญมาก

  • บนโซเชียลมีเดีย
    • ตัวชี้วัดที่ควรรู้: Reach (การเข้าถึง), Engagement Rate (อัตราการมีส่วนร่วม), Follower Growth (การเติบโตของผู้ติดตาม), Click-Through Rate (CTR - อัตราการคลิก), Cost Per Click (CPC - ต้นทุนต่อคลิก), Conversion Rate (อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า/ยอดขายจากการโฆษณา)
    • ROI ที่ชัดเจน: การลงทุนในโฆษณาโซเชียลมีเดียสามารถวัดผล ROI ได้ค่อนข้างรวดเร็วและแม่นยำ หากตั้งค่า Conversion Tracking ที่ถูกต้อง คุณจะรู้ว่าเงินที่จ่ายไปสร้างยอดขายได้เท่าไหร่
  • บนเว็บไซต์
    • ตัวชี้วัดที่ควรรู้: Organic Traffic (ผู้เข้าชมจาก SEO), Bounce Rate (อัตราการตีกลับ), Time on Site (ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บ), Pages Per Session (จำนวนหน้าที่เข้าชม), Conversion Rate (อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า/เป้าหมาย), Lead Generation (จำนวนผู้สนใจที่ได้มา), Sales Revenue (รายได้จากเว็บไซต์)
    • ROI ที่ยั่งยืน: การลงทุนในเว็บไซต์และ seo อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วเท่าโซเชียลมีเดีย แต่มันคือการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานให้คุณได้ 24/7 และสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน การวัดผล ROI ของเว็บไซต์ต้องมองภาพรวมและระยะเวลาที่ยาวนานกว่า

การทำความเข้าใจว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีตัวชี้วัดและ ROI ที่แตกต่างกัน จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจจัดสรรงบประมาณได้อย่างเหมาะสมและคาดหวังผลลัพธ์ได้ถูกต้องครับ

3. กลยุทธ์คอนเทนต์ที่แตกต่างแต่เชื่อมโยง (Tailored Content Strategy)

คอนเทนต์คือหัวใจของการตลาด แต่คอนเทนต์ที่ดีบนโซเชียลมีเดีย อาจไม่ใช่คอนเทนต์ที่ดีบนเว็บไซต์เสมอไป

  • คอนเทนต์สำหรับโซเชียลมีเดีย
    • สั้น กระชับ ดึงดูดสายตา: เน้นภาพสวย วิดีโอสั้น ข้อความพาดหัวกระแทกใจ เพื่อหยุดนิ้วคนดูในฟีด
    • เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์: คำถาม ชวนโต้ตอบ ให้ข้อมูลเล็กน้อยที่กระตุ้นความสนใจและอยากรู้ต่อ
    • สร้างแบรนด์คาแรคเตอร์: ใช้โทนเสียง ภาษา และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำ
  • คอนเทนต์สำหรับเว็บไซต์
    • ละเอียด ลึกซึ้ง ให้คุณค่า: บทความ บล็อก คู่มือ กรณีศึกษา ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก แก้ปัญหาลูกค้า
    • เน้น SEO: ใช้ Keywords ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ Google ค้นพบ
    • สร้างความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญ: แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณมีความรู้จริงในสาขานั้น ๆ
    • สนับสนุนการขาย: มี Call to Action ที่ชัดเจน นำไปสู่หน้าสินค้า/บริการ หรือแบบฟอร์มติดต่อ
    • คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียควรเป็นเหมือน "ตัวอย่างน่าสนใจ" ที่เชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้ามาอ่าน "บทความฉบับเต็ม" บนเว็บไซต์ครับ

4. การควบคุมและอิสระ vs การพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น (Control & Dependency)

นี่คือประเด็นสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

  • เว็บไซต์ : อิสระและควบคุมได้ 100%
    • ข้อดี: คุณเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมด ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงนโยบายของแพลตฟอร์ม การปิดกั้น หรือการแข่งขันจากคู่แข่งที่ปรากฏในที่เดียวกัน ข้อมูลลูกค้าเป็นของคุณเอง 100% คุณสามารถทำ Data Marketing ได้อย่างเต็มที่
    • ข้อควรคิด: ต้องรับผิดชอบการดูแลระบบเองทั้งหมด (หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญ)
  • โซเชียลมีเดีย : สะดวกแต่มีความเสี่ยง
    • ข้อดี: เริ่มง่าย ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ
    • ข้อควรคิด: การเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มสามารถลดการมองเห็น (Organic Reach) ของคุณลงได้ทันที ซึ่งหมายถึงคุณอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเดิม นอกจากนี้ บัญชีของคุณอาจถูกระงับได้หากทำผิดกฎแพลตฟอร์มโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก

การมีเว็บไซต์เป็นเหมือนการมีที่ดินและบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนการมีเพจโซเชียลมีเดียเป็นเหมือนการเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า คุณได้ลูกค้าจากห้าง แต่ห้างเป็นเจ้าของพื้นที่และกฎเกณฑ์ครับ

BLOG UPDATE
เทคนิคสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมากกว่าความสวยงาม

เราเชื่อว่าเว็บไซต์ไม่ใช่แค่ความสวย แต่ต้องช่วยสื่อสารแบรนด์ และขับเคลื่อนธุรกิจ
บทความในที่นี่รวมแนวคิด UX/UI เทคนิค SEO วิธีเลือก CMS และกลยุทธ์ดูแลเว็บไซต์แบบมืออาชีพ ทั้งเจ้าของเว็บและนักออกแบบจะได้แนวคิดไปต่อยอดได้ทันที