โลกเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นะเธอ…
ฉันว่าเธอคงรู้สึกเหมือนกันใช่ไหมว่าช่วงปีที่ผ่านมา อะไร ๆ ก็เร็วไปหมดเลยนะ จากที่เมื่อก่อนเวลาอยากรู้อะไรก็ต้องเปิด Google ค้นหา แต่เดี๋ยวนี้...มีทางเลือกเยอะขึ้นมากเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นการถาม AI อย่าง Gemini หรือ ChatGPT, การดูคลิปสั้น ๆ บน TikTok หรือ Reels, หรือแม้แต่การถามเพื่อนในกลุ่มไลน์และ Facebook Group ที่เราสนิทกัน ฉันว่านี่แหละคือสัญญาณที่บอกว่า "การค้นหา" ในปี 2030 จะไม่ได้จำกัดแค่ในช่อง Search Bar ของ Google อีกต่อไปแล้ว
ฉันว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจมากเลยนะ เพราะถ้าเรายังทำเว็บแบบเดิม ๆ ที่เน้นแค่ Keyword Research แล้วไป Optimize ให้ติดหน้าแรกของ Google อย่างเดียว ฉันว่ามันเสี่ยงมากเลยนะ เหมือนกับการที่เราเอาไข่ทุกฟองไปไว้ในตะกร้าใบเดียว ถ้าวันหนึ่งตะกร้าใบนั้นหล่นลงมา...เราก็คงไม่เหลืออะไรเลย
แล้วทีนี้...เราจะทำยังไงดีล่ะ? มาลองดูกันดีกว่าว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนจะไปค้นหาอะไรและจากที่ไหนกันบ้าง แล้วเราในฐานะคนทำเว็บ จะปรับตัวยังไงให้ยังเป็นที่ที่คนอยากเข้ามาอยู่ดี
เจาะลึก 3 ช่องทางใหม่ ที่คนจะใช้ค้นหาข้อมูล แทน Google
1. AI Chatbots: ผู้ช่วยส่วนตัวที่ฉลาดกว่าที่คิด
เธอเชื่อไหมว่าตอนนี้ AI อย่าง Gemini หรือ ChatGPT ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้วนะ เวลาที่ฉันอยากรู้อะไรแบบที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ เช่น "ช่วยสรุปประเด็นหลักของรายงานนี้ให้หน่อย" หรือ "ช่วยเขียนอีเมลขอบคุณลูกค้าให้หน่อย" ฉันก็มักจะไปถาม AI ก่อนเลย เพราะมันเร็วกว่าและได้คำตอบที่ตรงใจกว่าการไปไล่อ่านบทความใน Google ตั้งเยอะ
แล้วถ้าในอนาคต...AI ฉลาดขึ้นไปอีกจนสามารถเข้าใจคำถามที่ซับซ้อนและให้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่าเดิมได้ล่ะ? ลองคิดดูสิว่าถ้าคนอยากรู้เรื่อง "วิธีวางแผนการเงินสำหรับคนเพิ่งเริ่มทำงาน" เขาอาจจะไม่ต้องไปนั่งค้นหาบทความใน Google แล้ว แต่เขาจะไปถาม AI โดยตรงเลย แล้ว AI ก็จะวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วอินเทอร์เน็ต แล้วสรุปออกมาเป็นคำตอบที่ปรับแต่งมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
แล้วเว็บของเราจะทำยังไงดีล่ะ?
ฉันว่าเราต้องเริ่มปรับ Mindset ใหม่แล้วนะ จากที่เมื่อก่อนเราแข่งกันทำคอนเทนต์ที่เน้น Keyword ให้ติดอันดับ เราต้องเปลี่ยนมาทำคอนเทนต์ที่ "เป็นประโยชน์และมีคุณค่า" จริง ๆ แทนแล้วนะ คอนเทนต์ของเราต้องไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลพื้นฐาน แต่ต้องมีมุมมองที่ลึกซึ้ง มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ จริง ๆ เพื่อที่ว่าเมื่อ AI ดึงข้อมูลไปตอบคำถาม มันจะได้ดึงข้อมูลจากเว็บของเราไปใช้ แล้วคนก็จะเริ่มเห็นชื่อเว็บของเราบ่อย ๆ จนเกิดความเชื่อมั่น และอยากจะเข้ามาอ่านบทความฉบับเต็ม
2. Social Commerce: ร้านค้าที่ไม่ได้ขายของอย่างเดียว
เธอเคยไหมที่อยากซื้ออะไรสักอย่าง แล้วแทนที่จะไปค้นหาใน Google แต่กลับไปดูรีวิวใน TikTok หรือ Reels ก่อน? ฉันว่านี่คือเทรนด์ที่มาแรงมากเลยนะ เพราะคนยุคใหม่ไม่ได้อยากได้แค่ "ของ" แต่เขาอยากได้ "ประสบการณ์" และ "ความรู้สึกร่วม" ด้วย
ลองคิดดูสิว่าถ้าคนอยากจะซื้อสกินแคร์ เขาอาจจะไม่ไปค้นหาใน Google ว่า "สกินแคร์ลดสิวที่ดีที่สุด" แล้ว แต่เขาอาจจะเข้าไปใน TikTok แล้วดูวิดีโอของ Influencer ที่ใช้จริง ๆ แล้วเห็นผลจริง ๆ แล้วกดสั่งซื้อจากในวิดีโอนั้นเลย
แล้วเว็บของเราจะปรับตัวยังไงให้ทันล่ะ?
ฉันว่าเราต้องเริ่มสร้าง Presence บน Social Media ให้แข็งแรงขึ้นแล้วนะ ไม่ใช่แค่การโพสต์รูปสวย ๆ แต่เราต้องสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและน่าสนใจบนแพลตฟอร์มเหล่านั้นด้วย เช่น การทำวิดีโอสั้น ๆ ที่ให้ความรู้ หรือการทำ Live Commerce ที่ให้ลูกค้าได้เข้ามาพูดคุยและสอบถามข้อมูลได้โดยตรง ฉันว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และทำให้เว็บของเราเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นนะ
นอกจากนี้ เราอาจจะต้องคิดถึงการทำ "คอนเทนต์รีวิว" ที่เป็นกลางและจริงใจมากขึ้นด้วย เพื่อให้คนที่ดูรีวิวของเราเกิดความเชื่อมั่น และในที่สุดก็จะเข้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเว็บของเราในที่สุด
3. Voice Search: การค้นหาด้วยเสียงที่กำลังมาแรง
เธอเคยลองสั่ง Siri หรือ Google Assistant ให้ค้นหาอะไรให้ไหม? ฉันว่ามันสะดวกมากเลยนะ โดยเฉพาะเวลาที่เรากำลังขับรถหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ การค้นหาด้วยเสียงนี่แหละคือคำตอบ
แล้วในอนาคตอันใกล้นี้...อุปกรณ์ที่รองรับการค้นหาด้วยเสียงจะเยอะขึ้นมากเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น Smart Speaker ในบ้าน หรือรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีระบบ AI ในตัว ลองคิดดูสิว่าถ้าคนอยากรู้ว่า "ร้านอาหารอร่อย ๆ แถวบ้านมีที่ไหนบ้าง" เขาอาจจะแค่พูดคำถามนี้ออกมา แล้ว AI ก็จะตอบกลับมาเป็นเสียงเลย
แล้วเว็บของเราจะทำยังไงให้ AI ตอบเป็นชื่อเว็บเราล่ะ?
ฉันว่าเราต้องเริ่มปรับคอนเทนต์ของเราให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงแล้วนะ จากที่เมื่อก่อนเราใช้ภาษาแบบเป็นทางการในบทความ เราอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้ภาษาที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนกับการที่เราพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ เราอาจจะต้องเน้นการทำคอนเทนต์ที่ตอบคำถามแบบ "ตรงไปตรงมา" มากขึ้นด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อ AI ดึงข้อมูลไปตอบ มันจะได้ดึงข้อมูลที่ตรงประเด็นและสั้นกระชับที่สุดไปใช้ ฉันว่านี่แหละคือวิธีที่จะทำให้เว็บของเรายังเป็นที่ที่คนอยากเข้ามาอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ Google ในการค้นหาแล้วก็ตาม
นอกเหนือจากการค้นหา…โลกก็ยังมีเรื่องน่าสนใจอื่น ๆ อีกนะ
- คอนเทนต์ยุคใหม่: สั้น กระชับ และตรงใจ
ฉันว่าเธอคงรู้สึกเหมือนกันใช่ไหมว่าเดี๋ยวนี้คนเรามีสมาธิสั้นลงมากเลยนะ จากที่เมื่อก่อนเราสามารถนั่งอ่านบทความยาว ๆ ได้เป็นชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้...แค่คลิป 15 วินาทีเราก็ยังเลื่อนผ่านไปแล้ว
ฉันว่านี่คือสัญญาณที่บอกว่า "คอนเทนต์" ในปี 2030 จะต้องสั้น กระชับ และตรงใจคนดูมากขึ้นนะ เราอาจจะต้องเปลี่ยนจากบทความยาว ๆ มาเป็น Infographic สวย ๆ หรือวิดีโอสั้น ๆ ที่ให้ความรู้แบบย่อยง่ายแทน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคอนเทนต์ยาว ๆ จะไม่มีที่ยืนนะ คอนเทนต์ยาว ๆ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ เพียงแต่เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การใช้ภาพประกอบที่สวยงาม หรือการแบ่งหัวข้อให้ชัดเจน เพื่อให้คนสามารถอ่านได้ง่ายขึ้น
- การสร้าง Community: ความผูกพันที่หาไม่ได้จากที่อื่น
เธอเคยสังเกตไหมว่าเดี๋ยวนี้คนเราไม่ได้ต้องการแค่ "ข้อมูล" แต่เขาอยากได้ "ความผูกพัน" และ "ความรู้สึกร่วม" ด้วย
ฉันว่านี่คือโอกาสที่ดีมากเลยนะที่เราจะสร้าง Community ขึ้นมาบนเว็บของเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำ Forum ให้ลูกค้าได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หรือการทำกลุ่มลับใน Facebook ให้ลูกค้าคนสำคัญได้เข้ามาปรึกษากัน
ฉันว่าการสร้าง Community นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เว็บของเราแตกต่างจากเว็บอื่น ๆ นะ เพราะมันไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยากจะกลับมาที่เว็บของเราอีกครั้งและอีกครั้ง
สุดท้ายนี้…เราจะรอดไปด้วยกันนะ!
ฉันว่าเรื่องนี้มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะ เพราะในทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงก็ย่อมมีโอกาสใหม่ ๆ เสมอ สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ "เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง" และ "เรียนรู้ที่จะปรับตัว"
จากที่เมื่อก่อนเราโฟกัสแค่การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google เราอาจจะต้องเปลี่ยนมาโฟกัสที่การทำ "คอนเทนต์ที่มีคุณค่า" และ "สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า" ให้มากขึ้น
ฉันเชื่อว่าถ้าเราทำได้...ต่อให้ในอนาคตคนไม่ค้นหาผ่าน Google แล้ว เว็บของเราก็จะยังคงเป็นที่ที่คนอยากเข้ามาอยู่เสมอ เพราะเราไม่ได้ขายแค่ "ของ" แต่เราขาย "คุณค่า" และ "ความรู้สึกร่วม" ที่หาไม่ได้จากที่ไหน
