ทำไมเราถึงต้องฝึก "คิดบวก" ในวันที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ?
ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิงยุคใหม่วัยทำงานที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานที่ถาโถม ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ทุกอย่างล้วนส่งผลกระทบต่อจิตใจของเราได้ไม่ยาก จนบางครั้งเราอาจรู้สึกว่าชีวิตมันช่าง...น่าเบื่อและเหนื่อยเหลือเกิน
การ "คิดบวก" ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแกล้งทำเป็นมีความสุขตลอดเวลา หรือมองข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นไปเสียหมด แต่การคิดบวกคือการที่เรามีสติรู้ตัวว่ากำลังรู้สึกอย่างไร และเลือกที่จะมองหาแง่ดีหรือบทเรียนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่างหากค่ะ เมื่อเราฝึกที่จะคิดบวกได้บ่อยๆ เราจะสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น มีความยืดหยุ่นทางความคิด และไม่จมอยู่กับความเศร้าหรือความเครียดนานจนเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและราบรื่นขึ้นในระยะยาว
10 เทคนิคเปลี่ยนชีวิตให้คิดบวก แม้วันที่อะไรๆ ไม่เป็นใจ
1. ยอมรับและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
เทคนิคแรกที่สำคัญที่สุดคือการ "ยอมรับ" ความรู้สึกของตัวเองก่อนค่ะ ไม่ว่าจะรู้สึกเศร้า โกรธ เสียใจ หรือท้อแท้ ให้เราอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้นได้ ไม่ต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งหรือฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ข้างในร้องไห้ การยอมรับความรู้สึกคือการที่เราได้มีโอกาสทำความรู้จักกับอารมณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง เมื่อเราเข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ เราก็จะสามารถจัดการกับความรู้สึกนั้นได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสมค่ะ
2. จดบันทึกเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ลองใช้เวลาสัก 5-10 นาทีในแต่ละคืนก่อนนอน จดบันทึกเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่น ได้กินของอร่อย ได้ดูหนังที่ชอบ หรือได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงาน การทำแบบนี้จะช่วยให้เราฝึกที่จะมองหาแง่บวกในชีวิตมากขึ้น และยังเป็นการสร้าง "พลังบวก" ให้กับจิตใจของเราก่อนเข้านอนอีกด้วย
3. ล้อมรอบตัวเองด้วยพลังงานดีๆ
ถ้าเพื่อนหรือคนรอบข้างของเรามีแต่เรื่องบ่น มีแต่ความคิดลบๆ มันก็ยากที่เราจะคิดบวกได้จริงไหมคะ ลองพยายาม "ล้อมรอบตัวเองด้วยพลังงานดีๆ" ดูค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการหาเพื่อนที่คิดบวก คุยกับคนที่เราสบายใจ หรือแม้แต่การหาหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่าน การได้อยู่ท่ามกลางสิ่งดีๆ จะช่วยเติมเต็มพลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ
4. ฝึกมองปัญหาเป็นโอกาส
ในทุกๆ ปัญหามักจะมี "โอกาส" ซ่อนอยู่เสมอค่ะ ลองเปลี่ยนมุมมองจากการมองปัญหาเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด ให้กลายเป็นการมองหาโอกาสที่เราจะสามารถเรียนรู้จากมันได้ เช่น ถ้างานที่ทำอยู่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ลองมองว่านี่คือโอกาสที่เราจะได้ฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น หรือถ้าผิดหวังในความรัก ลองมองว่านี่คือโอกาสที่เราจะได้รักตัวเองมากขึ้นและได้เรียนรู้ว่าความรักที่ดีควรเป็นอย่างไร
5. ดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอก
การดูแลตัวเองไม่ได้หมายถึงแค่การทาครีมหรือแต่งตัวสวยๆ เท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมถึงการดูแล "สุขภาพจิต" ของเราด้วย การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ของเรา เมื่อร่างกายเราแข็งแรง จิตใจของเราก็จะแข็งแรงตามไปด้วยค่ะ
6. ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ
การลองทำสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้เราได้ออกจากกรอบเดิมๆ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิตค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนทำอาหาร การปลูกต้นไม้ หรือการเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราได้ค้นพบความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ และยังเป็นการสร้างความรู้สึก "มีชีวิตชีวา" ให้กับเราอีกด้วย
7. ฝึกสมาธิและอยู่กับปัจจุบัน
ในโลกที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยสิ่งรบกวน การฝึกสมาธิจะช่วยให้เราได้กลับมาอยู่กับตัวเองและ "อยู่กับปัจจุบัน" มากขึ้นค่ะ ลองหาเวลาเงียบๆ สัก 10-15 นาทีในแต่ละวันเพื่อหายใจเข้า-ออกลึกๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ และปล่อยให้ความคิดที่วุ่นวายค่อยๆ จางหายไป การทำแบบนี้จะช่วยให้เรามีสติและรู้สึกสงบมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เราสามารถคิดบวกได้ง่ายขึ้นในที่สุด
8. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริงในแต่ละวัน
บางครั้งการคิดบวกก็มาจากการที่เราได้เห็นตัวเองประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ลองตั้งเป้าหมายง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้จริงในแต่ละวันดูนะคะ เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือให้จบหนึ่งบท หรือการออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาที เมื่อเราทำสำเร็จ เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองและมีกำลังใจที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อไป
9. การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเอง
ความโกรธและความเคียดแค้นเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่ผูกมัดเราไว้กับอดีตค่ะ การให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้หรือปล่อยให้คนที่ทำร้ายเราลอยนวลไป แต่การให้อภัยคือการที่เรา "ปลดปล่อยตัวเอง" ให้เป็นอิสระจากความรู้สึกแย่ๆ นั้นต่างหาก เมื่อเราให้อภัยได้ เราจะรู้สึกโล่งใจและมีพื้นที่ในใจสำหรับสิ่งดีๆ มากขึ้น
10. มองหาข้อดีในตัวเองและชื่นชมมัน
สุดท้ายนี้ อยากให้เราลองกลับมามองที่ตัวเองบ้างค่ะ ลองหาข้อดีและจุดเด่นของเราแล้ว "ชื่นชมมัน" ออกมาอย่างจริงใจ ไม่ต้องรอให้ใครมาชม เราสามารถเป็นคนที่คอยเติมเต็มพลังบวกให้กับตัวเองได้เสมอ การได้เห็นคุณค่าในตัวเองจะช่วยสร้างความมั่นใจและทำให้เรามีความสุขจากภายในอย่างแท้จริงค่ะ
นอกเหนือจากเรื่องงานและชีวิต...การดูแลตัวเองให้พร้อมรับมือกับทุกสิ่ง
นอกจากเรื่องงานและเรื่องเงินแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ "การสร้างความมั่นคงในชีวิต" ค่ะ ในยุคที่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน การมีแผนสำรองไว้เสมอเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ซึ่งการสร้างความมั่นคงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเงินทองเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่ยังรวมถึงการหาความรู้เพิ่มเติม การพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาด และการวางแผนชีวิตหลังเกษียณให้เป็นระบบ
เมื่อเรามีการวางแผนที่ดี เราจะรู้สึกสบายใจและมั่นคงมากขึ้น ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราก็จะมีเกราะป้องกันที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ การดูแลตัวเองให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถคิดบวกได้อย่างยั่งยืนและมีความสุขอย่างแท้จริงในทุกช่วงชีวิตค่ะ
บทสรุปความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม แค่เราเปิดใจและลงมือทำ
การคิดบวกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะในวันที่เรากำลังเผชิญกับเรื่องแย่ๆ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเทคนิคเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะช่วยให้เราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน เมื่อเราฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราจะพบว่าเราสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น และมองเห็นความสุขที่ซ่อนอยู่ในทุกๆ วันของชีวิตได้ไม่ยาก
สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "เปิดใจ" ให้กับความเปลี่ยนแปลงและ "ลงมือทำ" อย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกแย่ๆ มาบั่นทอนชีวิตที่สวยงามของเรา ลองเริ่มต้นจากเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้ในวันนี้ แล้วเราจะพบว่าความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม แค่เราเปิดใจและลงมือทำ...แค่นี้ชีวิตของเราก็พร้อมที่จะมีความสุขแล้วค่ะ
