เบื่อไหมกับการผัดวันประกันพรุ่ง ลอง 10 วิธีนี้แล้วชีวิตดีขึ้นจริง!
ทำไมเราถึงชอบผัดวันประกันพรุ่ง และผลกระทบที่ซ่อนอยู่
เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนน่าจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ใช่ไหมคะ? "วันนี้เหนื่อยจัง พรุ่งนี้ค่อยทำแล้วกัน" "งานนี้ใกล้เดดไลน์แล้วแต่ยังไม่มีอารมณ์ทำเลย" หรือแม้กระทั่ง "วันนี้ขอกินบุฟเฟต์ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มไดเอท" เรามักจะหาเหตุผลสารพัดมาอ้างเพื่อเลื่อนสิ่งที่ต้องทำออกไปก่อนเสมอ ซึ่งถ้าถามว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้? คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือ สมองของเราชอบความสบายค่ะ! การลงมือทำอะไรบางอย่างมักจะใช้พลังงานและสร้างความเครียดเล็ก ๆ ขึ้นมา ทำให้สมองเลือกที่จะเลื่อนกิจกรรมนั้นออกไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นทันที
แต่ในระยะยาว การผัดวันประกันพรุ่งกลับส่งผลกระทบมากกว่าที่เราคิดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิดที่ต้องแบกรับไว้คนเดียว ความเครียดสะสมเมื่อใกล้ถึงเดดไลน์ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองที่ต้องคอยวิ่งไล่ตามสิ่งที่ควรจะทำไปตั้งนานแล้ว บทความนี้เลยอยากจะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจต้นตอของการผัดวันประกันพรุ่ง และแนะนำ 10 วิธีที่จะช่วยให้เราเอาชนะนิสัยนี้ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
1. ยอมรับและทำความเข้าใจตัวเองก่อน
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการทำความเข้าใจและยอมรับก่อนว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการผัดวันประกันพรุ่งอยู่ การยอมรับนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เหมือนเรายอมรับว่าเรามีไข้ก่อนที่จะเริ่มหายามากินนั่นเองค่ะ ลองถามตัวเองดูว่า "เรากำลังหนีอะไรอยู่?" "ทำไมเราถึงไม่อยากทำสิ่งนี้?" บางทีคำตอบอาจจะไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดค่ะ อาจจะเป็นแค่เราไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน หรือไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้สำคัญพอที่จะต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้
2. แบ่งงานใหญ่ให้เป็นงานเล็ก ๆ
บางครั้งสาเหตุที่เราไม่อยากลงมือทำอะไรเลยก็เพราะว่างานนั้นดูใหญ่และยากเกินไป ลองนึกภาพการต้องเขียนรายงาน 50 หน้าสิคะ แค่คิดก็ท้อแล้วใช่ไหมล่ะคะ? แต่ถ้าเราลองแบ่งมันออกเป็นส่วน ๆ เช่น "วันนี้หาข้อมูล" "พรุ่งนี้ร่างบทนำ" "อีกวันเขียนบทสรุป" งานที่ดูใหญ่โตก็จะกลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้สำเร็จในแต่ละวัน และเมื่อเราทำสำเร็จในแต่ละส่วนแล้ว ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกดีใจเล็ก ๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้เรามีกำลังใจที่จะทำในส่วนต่อไปเรื่อย ๆ จนสำเร็จในที่สุดค่ะ
3. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริง
การตั้งเป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่เกินไปก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งค่ะ เช่น "จะลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 1 เดือน" เป้าหมายแบบนี้อาจจะดูน่าตื่นเต้นในตอนแรก แต่พอผ่านไปไม่กี่วันก็จะรู้สึกว่ามันยากเกินไปจนทำให้เราท้อและเลิกไปในที่สุด ลองเปลี่ยนมาเป็น "จะออกกำลังกาย 30 นาที 3 วันต่อสัปดาห์" หรือ "จะลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์" เป้าหมายที่ชัดเจนและทำได้จริงจะช่วยให้เราเห็นความก้าวหน้า และรู้สึกว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสำเร็จในที่สุดค่ะ
4. ใช้กฎ 5 วินาที ลงมือทำทันทีโดยไม่ให้สมองมีเวลาคิด
เคยได้ยินกฎนี้ไหมคะ? กฎ 5 วินาทีเป็นเทคนิคที่ง่ายและทรงพลังมากค่ะ คือเมื่อมีไอเดียหรือสิ่งที่ต้องทำผุดขึ้นมาในหัว ให้เรานับถอยหลัง 5-4-3-2-1 แล้วลุกขึ้นไปทำทันที! กฎนี้ใช้เพื่อไม่ให้สมองของเรามีเวลาหาเหตุผลมาอ้างเพื่อเลื่อนเวลาออกไปค่ะ เช่น ถ้าอยากลุกขึ้นไปล้างจาน ก็แค่นับ 5-4-3-2-1 แล้วลุกไปล้างเลยค่ะ ก่อนที่สมองจะทันได้บอกว่า "ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำ"
5. สร้าง "ตารางเวลา" ที่เหมาะกับเรา
การมีตารางเวลาที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีวินัยและทำตามแผนได้ง่ายขึ้นค่ะ ลองจัดสรรเวลาในแต่ละวันดูว่าช่วงไหนที่เรามีพลังงานมากที่สุด และช่วงไหนที่เราชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น "ช่วงเช้าหลังตื่นนอนจะเขียนงาน" "ช่วงบ่ายจะออกกำลังกาย" การทำแบบนี้จะช่วยให้เราลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะสมองจะรู้ว่า "ถึงเวลาทำสิ่งนี้แล้วนะ"
6. หา "เพื่อนร่วมทาง" ที่มีเป้าหมายเดียวกัน
บางครั้งการมีคนที่เราสามารถปรึกษาหรือทำกิจกรรมร่วมกันได้ก็จะช่วยให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้นค่ะ ลองหาเพื่อนที่อยากจะลดน้ำหนักเหมือนกัน หรือเพื่อนที่กำลังอยากจะฝึกทำอาหารเหมือนกัน แล้วลองนัดกันออกกำลังกายหรือทำอาหารด้วยกันดู การมีเพื่อนร่วมทางจะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้กำลังต่อสู้เพียงลำพัง และยังช่วยให้เราไม่หลงทางและทำตามเป้าหมายได้ดีขึ้นอีกด้วย
7. ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ
การให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เราอยากลงมือทำค่ะ ไม่ต้องเป็นของรางวัลที่ยิ่งใหญ่เสมอไปนะคะ อาจจะเป็นการได้ดูหนังเรื่องโปรด การได้กินของอร่อย หรือการได้พักผ่อนสักครู่หลังจากทำงานหนัก การให้รางวัลตัวเองจะทำให้เรามีกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไป และยังเป็นการบอกตัวเองว่า "เราสมควรได้รับรางวัลนี้แล้วนะ"
8. จัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
เคยสังเกตไหมคะว่าทำไมบางทีเราถึงทำงานไม่ได้เลย? อาจจะเป็นเพราะว่าโต๊ะทำงานของเราเต็มไปด้วยของกิน โซฟาที่ดูนุ่มสบาย และโทรศัพท์มือถือที่คอยจะดึงความสนใจไปจากงาน การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ ลองจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องวางอยู่ใกล้ ๆ และลองวางโทรศัพท์มือถือให้ห่างจากตัวสักพัก เพื่อให้เรามีสมาธิกับการทำงานได้อย่างเต็มที่
9. ไม่ต้องรอให้ "สมบูรณ์แบบ" ถึงจะเริ่ม
Perfectionism หรือการที่ต้องทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อนถึงจะลงมือทำ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งค่ะ เพราะเรากลัวว่าสิ่งที่เราทำออกมาจะไม่ดีพอ จึงเลือกที่จะไม่ทำเลยดีกว่า ลองเปลี่ยนความคิดดูไหมคะ? ว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำสิ่งต่าง ๆ ได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งแรก การเริ่มทำจากสิ่งเล็ก ๆ และค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ จะทำให้เราเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง และยังช่วยลดความกดดันที่ต้องทำให้สมบูรณ์แบบได้อีกด้วย
10. เรื่องอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวพันกัน การดูแลสุขภาพกายและใจ
ก่อนจะไปถึงบทสรุป อยากจะชวนคุยเรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะเกี่ยวพันกับปัญหาการผัดวันประกันพรุ่งด้วยค่ะ เชื่อไหมคะว่า "สุขภาพกายและสุขภาพใจ" ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนไม่พอจะทำให้เราไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย และไม่มีพลังงานในการทำสิ่งต่าง ๆ ลองนึกภาพวันที่เรานอนดึกสิคะ ตื่นเช้ามาเราก็อยากจะนอนต่อ หรืออยากจะเลื่อนงานออกไปก่อนใช่ไหมคะ?
- กินอาหารที่ดี: การกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์จะช่วยให้สมองของเราทำงานได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยให้เรามีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งวัน
- จัดการความเครียด: เมื่อเราเครียด เรามักจะเลือกที่จะทำสิ่งที่เราสบายใจมากกว่า เช่น การดูซีรีส์ หรือการเล่นโซเชียลมีเดีย การหาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น การนั่งสมาธิ หรือการออกไปเดินเล่นในสวน ก็จะช่วยให้เรามีสติและมีพลังงานในการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นค่ะ
ก้าวเล็ก ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
การเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราลองทำตาม 10 วิธีที่แนะนำไปข้างต้น รับรองว่าชีวิตเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ เสมอ ขอแค่เราเริ่มต้นลงมือทำเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือเรื่องส่วนตัว ก็จะช่วยให้เรามีความสุขและภูมิใจในตัวเองได้มากขึ้นค่ะ
อยากรู้ไหมว่าเพื่อน ๆ มีวิธีเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งยังไงบ้าง? มาแชร์กันได้นะคะ!