มีแค่ Facebook พอไหม? แล้วทำไมแบรนด์ใหญ่ถึงลงทุนทำเว็บ

• คุณไม่ใช่เจ้าของแพลตฟอร์ม : Facebook เป็นของ Mark Zuckerberg ไม่ใช่ของคุณ! กฎระเบียบต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Algorithm การมองเห็นโพสต์ หรือแม้กระทั่งการปิดเพจ หากคุณทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจของคุณก็อาจจะสะดุดได้ทันที ลองนึกภาพว่าคุณสร้างธุรกิจมาเป็นปี แต่จู่ ๆ เพจก็โดนปิด แบบนี้ไม่แย่เลยเหรอคะ?
• การควบคุมแบรนด์ที่จำกัด : คุณไม่สามารถปรับแต่งหน้าเพจ Facebook ให้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ มีข้อจำกัดทั้งเรื่องเลย์เอาต์ ฟอนต์ สีสัน ซึ่งต่างจากการมีเว็บไซต์ที่ให้คุณดีไซน์ได้ตามใจชอบ สะท้อนความเป็นคุณได้อย่างไร้ขีดจำกัด
• คู่แข่งเยอะ หายาก : บน Facebook มีเพจธุรกิจมากมาย ทำให้ลูกค้าหาคุณเจอได้ยาก ถ้าไม่ยิงแอดก็แทบจะไม่ได้เห็นโพสต์เลย ส่วนเว็บไซต์นั้น ลูกค้าสามารถค้นหาคุณเจอได้ง่าย ๆ จาก Google โดยตรง
• ข้อมูลลูกค้าที่ไม่ใช่ของคุณ : ข้อมูลลูกค้าบน Facebook เป็นของ Facebook ไม่ใช่ของคุณ ทำให้การเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการตลาดในระยะยาวทำได้ยากกว่าการมีเว็บไซต์
• ความน่าเชื่อถือที่น้อยกว่า : ลูกค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ ๆ หรือธุรกิจ B2B ยังคงมองว่าการมีเว็บไซต์เพิ่มความน่าเชื่อถือ และความเป็นมืออาชีพให้กับแบรนด์มากกว่า

ทำไมแบรนด์ใหญ่ถึงลงทุนทำเว็บไซต์?

"ก็แบรนด์เค้าใหญ่ มีเงินเยอะ จะทำอะไรก็ได้นี่!"

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินค่ะซิส! แบรนด์ใหญ่ ๆ เข้าใจถึงแก่นแท้ของการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน และมองเห็นคุณค่าของเว็บไซต์ในระยะยาว ลองมาดูกันว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกทุ่มงบประมาณไปกับการสร้างเว็บไซต์ ทั้ง ๆ ที่ Facebook ก็ดูจะตอบโจทย์อยู่แล้ว

• สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์มืออาชีพ : การมีเว็บไซต์ที่เป็นของตัวเองแสดงถึงความตั้งใจและความเป็นมืออาชีพของแบรนด์ เว็บไซต์คือหน้าร้านออนไลน์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ให้ลูกค้าเข้ามาดูข้อมูลสินค้า บริการ ประวัติบริษัท หรือแม้กระทั่งบทความดี ๆ ได้ทุกเมื่อ ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและพร้อมที่จะลงทุนกับแบรนด์
• เป็นศูนย์กลางข้อมูลของแบรนด์ : เว็บไซต์คือแหล่งรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการทั้งหมดที่คุณมี บทความความรู้ โปรโมชั่นพิเศษ ช่องทางการติดต่อ หรือแม้กระทั่งรีวิวจากลูกค้า ทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างครบถ้วนและรวดเร็ว
• ควบคุมประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ : บนเว็บไซต์ คุณสามารถออกแบบเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) ได้ตามต้องการ ตั้งแต่การเข้าชมสินค้า การเพิ่มลงตะกร้า การชำระเงิน ไปจนถึงการให้ข้อมูลหลังการขาย ซึ่งต่างจากการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ประสบการณ์ลูกค้าถูกจำกัดด้วยฟีเจอร์ที่มี
• เครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ : เว็บไซต์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) ทำให้ธุรกิจของคุณถูกค้นเจอได้ง่ายบน Google และยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เช่น Google Analytics เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ และนำมาปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างแม่นยำ
• ขยายโอกาสทางธุรกิจในอนาคต : เมื่อธุรกิจของคุณเติบโต เว็บไซต์สามารถรองรับการขยายตัวได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสินค้าและบริการ การเพิ่มภาษาเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติ หรือการเพิ่มฟังก์ชันพิเศษต่าง ๆ เว็บไซต์จะช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด
• เป็นช่องทางการขายที่ไม่ต้องพึ่งใคร : หากคุณมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ คุณก็จะมีร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎ หรือเก็บค่าธรรมเนียมสูงขึ้นในอนาคต ทำให้คุณสามารถบริหารจัดการต้นทุนและกำไรได้ดีขึ้น

แล้วถ้าอยากได้เว็บไซต์ ต้องเริ่มยังไงดี?

"อืม… ฟังดูแล้วก็น่าสนใจนะ แต่จะทำเว็บเองก็ดูจะยากไปมั้ย?"

อย่าเพิ่งถอดใจไปค่ะซิส! การมีเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อมในยุคนี้ ไม่ว่าคุณจะมีความรู้ด้านโค้ดดิ้งหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถมีเว็บไซต์สวย ๆ เป็นของตัวเองได้ ไม่ต้องกังวลว่าต้องเป็นโปรแกรมเมอร์เท่านั้น

1. ใช้แพลตฟอร์มสำเร็จรูป (Website Builders): เช่น Wix, Shopify, หรือ Squarespace เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องเขียนโค้ดเอง มีเทมเพลตสวย ๆ ให้เลือกมากมาย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ข้อจำกัดคือการปรับแต่งอาจไม่ยืดหยุ่นเท่าการเขียนโค้ดเอง
2. ใช้ CMS (Content Management System) เช่น WordPress: เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้หลากหลายด้วยปลั๊กอินและธีมต่าง ๆ ต้องมีความรู้ในการจัดการโฮสติ้งและโดเมนเล็กน้อย แต่ก็มีแหล่งข้อมูลและคอมมูนิตี้ให้เรียนรู้มากมาย
3. จ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์: หากคุณไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค หรือต้องการเว็บไซต์ที่มีฟังก์ชันซับซ้อน ตอบโจทย์ธุรกิจโดยเฉพาะ การจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพคือทางออกที่ดีที่สุด พวกเขามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยวางแผน ออกแบบ พัฒนา และดูแลเว็บไซต์ให้คุณครบวงจร ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่บริษัทรับทำเว็บไซต์จะช่วยให้คุณได้เว็บไซต์ที่ตรงตามความต้องการ และมีประสิทธิภาพสูงสุด

เมื่อตัดสินใจจะจ้าง "บริษัทรับทำเว็บไซต์" ควรพิจารณาเรื่องเหล่านี้:

• ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ: เลือก บริษัทรับทำเว็บไซต์ ที่มีผลงานน่าเชื่อถือและประสบการณ์ในธุรกิจประเภทเดียวกับคุณ
• บริการหลังการขาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า บริษัทรับทำเว็บไซต์ มีบริการดูแลเว็บไซต์หลังการส่งมอบ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น
• งบประมาณ: กำหนดงบประมาณที่ชัดเจนและเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ บริษัทรับทำเว็บไซต์
• ความเข้าใจในธุรกิจของคุณ: บริษัทที่ดีควรเข้าใจเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณ เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง

สรุปแล้ว "มีแค่ Facebook พอไหม?"

• คำตอบคือ " ไ ม่ พ อ ค่ ะ ซิ ส ! "

Facebook เป็นช่องทางที่ดีเยี่ยมสำหรับการเริ่มต้นและเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก แต่สำหรับการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว การมี เว็บไซต์ เป็นของตัวเองคือสิ่งที่ขาดไม่ได้

คิดง่าย ๆ เลยค่ะ… Facebook ก็เหมือนกับ "บูธเช่า" ในงานอีเวนต์ คุณสามารถเปิดร้านได้ง่าย ๆ คนเดินผ่านไปมาเยอะ แต่คุณไม่สามารถปรับแต่งได้เต็มที่ ต้องทำตามกฎของงานอีเวนต์ และถ้างานจบลง บูธนั้นก็หายไป

แต่เว็บไซต์คือ "อสังหาริมทรัพย์" ของคุณเอง คุณเป็นเจ้าของ ควบคุมได้ทั้งหมด อยากจะตกแต่งแบบไหนก็ทำได้ อยากจะเพิ่มพื้นที่ หรือต่อเติมฟังก์ชันอะไรก็ไม่มีใครห้าม ที่สำคัญคือมันเป็นของคุณตลอดไป!

ดังนั้น หากคุณเป็นแบรนด์ที่จริงจังกับการเติบโตในระยะยาว การลงทุนทำเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้แบรนด์ของคุณมีบ้านที่มั่นคง เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด อย่ารอช้าที่จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองนะคะ!

ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือต้องการเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพสูง อย่าลืมปรึกษา บริษัทรับทำเว็บไซต์ มืออาชีพ พวกเขาจะช่วยคุณสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจคุณได้อย่างแน่นอนค่ะ